ถ้าให้พูดถึงดารา-ศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก "Tomohisa Yamashita" หรือ "Yamapi"แม้แต่คนไทยก็รู้จักและคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก เราทุกคนต่างรู้จักเขาในนามของศิลปิน นักแสดงมากฝีมือ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คือไอดอลที่เด่นเรื่อง "การศึกษา" ด้วยค่ะ และเป็นคนที่นำเทรนด์ให้กับไอดอลคนอื่นๆ ให้หันมาเรียนหนังสือกันด้วย!
ยามะพีมีความฝันที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิงก็หลังจากที่ได้เห็นผลงานละครของ " Takizawa Hideaki" ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจว่า สักวันหนึ่งเขาเอง ก็อยากจะไปปรากฏตัวในจอทีวีกับเขาบ้าง
ยามะพีเลยตัดสินใจส่งใบสมัครไปยังเอเจนซีต่างๆ แต่ไม่มีเอเจนซีไหนเลยที่เรียกเขาให้ไปออดิชั่น ยกเว้น " Johnny & Associates" และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางไอดอลของจอห์นนี่ จนมีผลงานเพลงและละครให้เราได้ดูกันมากมาย
![]() |
pic Source: http://forums.soompi.com/ en/topic/195411-horikoshi-high-school-a-real-life-high-school-for-idols/ |
ชีวิตในรั้วโรงเรียนของยามะพีก็เหมือนไอดอลทั่วไปที่ทั้งเรียน ทั้งร้องเพลงและแสดงละครไปแล้วก็มีความคิดที่ว่า...
"พอเรียนจบม.ปลายก็คงไม่เรียนต่อดีกว่า"
คือสมัยนั้นไอดอลญี่ปุ่นจะมีค่านิยมประมาณว่า พอเป็นดาราแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อก็ได้ เพราะเรามีอาชีพแล้ว หาเงินเองได้แล้ว รวมถึงจะได้มีเวลาในการทุ่มเทกับงานด้านบันเทิงมากขึ้น
แต่จู่ๆ ความคิดของยามะพีก็เปลี่ยนไป เมื่อวันหนึ่งยามะพีถูกอาจารย์ม.ปลายดูถูกมาค่ะว่า "คนอย่างเธอน่ะเรียนต่อไม่ไหวหรอก" เจอคำนี้มันหยามกันชัดๆ คนอย่างผมไม่ได้แค่หล่อ ร้องเพลง เต้น และเล่นละครเก่งนะ ยามะพีก็เลยอยากจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นค่ะว่า เขาก็เรียนดี และจะคว้าใบปริญญามาให้ดู
![]() |
pic source: http://matome.naver.jp /odai/2143654728915447301 |
หลังจากวันนั้นยามะพีก็เริ่มปรึกษารุ่นพี่ที่เรียนในมหาวิทยาลัย "เมจิ"
หาแนวทางที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้อย่างจริงจัง และช่วงนั้นยามะพีก็เรียนพิเศษและอ่านหนังสือหลังเลิกเรียนทุกวันด้วยค่ะ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับชีวิตของไอดอลที่เต็มไปด้วยตารางงานด้านการแสดงอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของยามะพีค่ะ ไม่ว่าจะงานหนักแค่ไหน เขาก็จะหาเวลาในการเรียนและอ่านหนังสือให้ได้
จากความมุ่งมั้นและตั้งใจของเขาก็ทำให้ฝันเป็นจริงค่ะ ยามะพีสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมจิได้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย Top 6 ของญี่ปุ่น ยามะพีสอบเข้าไปเรียนในคณะการพาณิชย์ สาขาการตลาดค่ะ ที่เลือกสาขานี้ก็เพราะว่าอยากนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาช่วยธุรกิจของพ่อแม่ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง
![]() |
pic source: http://www.myfconline.com/?do=view&type=character&character_id=242322 |
แต่ก็มีบางวิชาที่ยามะพีต้องละทะเบียนซ้ำด้วย สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องเวลานี่แหละค่ะ
แม้จะมีเรื่องให้สะดุด มีอุปสรรคไปบ้าง แต่ยามะพีก็ฝ่าฟันจนเรียนจบ คว้าใบปริญญามาได้ ในเวลา 4 ปีครึ่ง จบช้ากว่ากำหนดไปนิดนึง แต่ก็ทันพิธีรับปริญญาในปีนั้นพอดีค่ะ มีผู้เข้าร่วมรับปริญญาด้วยกัน 30 คน
![]() |
pic source: http://www.goodreads.com/ book/show/17402592-in-his-care |
ในวันที่เรียนจบ ยามะพีได้ให้สัมภาษณ์ว่า...
"เพราะเรามีกันแค่ชีวิตเดียว
ในครั้งหนึ่งของชีวิต
ผมก็อยากมีประสบการณ์ชีวิต
ในรั้วมหาวิทยาลัยครับ
มันคือสี่ปีครึ่งที่โหดสุดๆ
แต่ก็ทำให้ผมได้เห็นคุณค่าของ
ใบปริญญา”
แต่ยามะพีก็แอบมีเรื่องเสียดายในชีวิตมหาวิทยาลัยค่ะ ก็คือว่า ยามะพีไม่ค่อยมีเวลาไปร่วมกิจกรรมกับมหาวิทยาลัย และไม่ได้เข้าชุมนุม เลยทำให้เขาพลาดชีวิตในส่วนนี้ รวมถึงมีเพื่อนน้อยไปสักนิดนึง แต่การที่ได้มาเรียน ก็เป็นการตัดสินใจหนึ่งที่ไม่ทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
และนี่คือเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของไอดอลระดับ Top ของญี่ปุ่นค่ะ เราอาจจะเคยให้เขาในงานด้านร้องเพลง และแสดงละคร แต่นี่คืออีกมุมหนึ่งของชีวิตยามะพี ที่ทำให้เราเห็นว่า เขาเป็นไอดอลที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามากค่ะ
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร สำเร็จในชีวิตแค่ไหน
แต่สิ่งที่ห้ามทิ้งก็คือ "การศึกษา"
และดูเหมือนว่ายามะพีก็เป็นคนที่ทำให้เกิดค่านิยมใหม่ พาเหล่าไอดอลให้หันมาเรียนหนังสือควบคู่ไปกับการทำงานด้วย
มันไม่ใช่ว่า สำเร็จในชีวิตแล้วไม่ต้องเรียนก็ได้ หรือ "ใบปริญญาไม่ใช่ทุกอย่าง" มันไม่ใช่ทุกอย่างก็จริงค่ะ แต่มันจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ทุกอย่างในชีวิต
ความรู้เรียนรู้ไปไม่เสียหายค่ะ มีความรู้ติดตัวไปใช้ในอนาคต รวมถึงการเรียนมันทำให้เราได้รู้จักกับ "ความมุ่งมั่น" และ "ความพยายาม" กว่าจะเรียนจบไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ นอกจากจะเก่งแล้ว สิ่งสำคัญคือความอดทนที่จะฟันฝ่าจนถึง วันที่เรียนจบ หรือวันแห่งความสำเร็จ
ใบปริญญาใบเดียวมันสามารถทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตด้วย มันทำให้เห็นถึงพลังและศักยภาพของมนุษย์คนหนึ่งที่มุ่งมั่น ตั้งใจจนคว้าใบปริญญามาได้สำเร็จ
หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังท้อแท้กับการเรียนนะคะ อย่าอ้างว่าเราไม่มี "เวลา" หรือ "ทำไม่ได้" ลองทุ่มเททำมันอย่างตั้งใจและสุดพลัง "การยอมแพ้" ขอให้เป็นตัวเลือกสุดท้ายในชีวิตดีกว่าค่ะ หรือถ้าเป็นไปได้ อย่าปล่อยให้มันมีโอกาสมาเป็นส่วนหนึ่งใน "ตัวเลือก" ของชีวิตเราเลยจะดีที่สุด :)
เจ๋งโคตร
ตอบลบ